ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2556

จับตา! MLM ไตรมาสสุดท้าย ดิ้นสู้กำลังซื้อหด/โหมกระแส AEC หนัก







aec (Mobile)

 


ในที่สุดก็เดินทางมาถึงช่วงโค้งสุดท้ายของการเก็บเกี่ยวยอด ขายของบรรดาบริษัทขายตรง ซึ่งในช่วงนี้นับเป็นช่วงที่ดีที่สุดสำหรับทุกค่าย ที่จะทำรายได้สร้าง กำไรให้กับบริษัท โดยกลุ่มผู้บริหาร ขายตรงต่างให้ความคิดเห็นในทำนองเดียวกันว่า ช่วงไตรมาสสุดท้าย คือ ช่วงที่ดีที่สุดในการสร้างยอดขาย ซึ่งรายได้ทั้งหมดของปี จะขึ้นอยู่กับช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีมากถึง 30-40% เลยทีเดียว ส่งผลให้บริษัทขายตรงน้อยใหญ่ ต้องพยายามสร้างกลยุทธ์ที่ เข้มข้นเพื่อโกยยอดขายในช่วงนี้


เริ่มที่ "แอมเวย์" ที่มีการคาดการณ์ ถึงสภาพเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเรื่องของกำลังซื้อ ซึ่งทางบริษัทยอมรับว่า ปีนี้ผู้บริโภคมีการจับจ่ายน้อยลง เป็นผลมาจาก กำลังซื้อที่หดตัวจากสภาวะเศรษฐกิจ ทำให้บริษัทต้องมีการใช้แผน 2 และ 3 เพื่อทำให้ยอดขายของบริษัทไม่ได้รับผลกระทบ


โดยนางรัตนา ชาญนรา ผู้อำนวย-การฝ่ายการตลาด บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ยอดขายในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาถือว่าอยู่ในเป้าหมายที่บริษัทได้วางไว้ โดยครึ่งปีแรกมี อัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 5-10% แต่ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ บริษัทมีความกังวล ในเรื่องของเศรษฐกิจ ที่อาจทำให้กำลังซื้อ ของผู้บริโภคลดลง ซึ่งอาจทำให้บริษัทไม่สามารถเติบโตได้อย่างที่คาดหวังไว้


"การเติบโตของบริษัทที่ "แอมเวย์" ได้ตั้งไว้ในส่วนของยอดขายคือ การมียอด ขายเพิ่มขึ้น 7% แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาในช่วงครึ่งปีหลังนี้ อาจ ทำให้บริษัทเติบโตได้เพียง แค่ 3-5% แต่บริษัทยังเชื่อว่าเป้า 1.8 หมื่นล้านบาท บริษัทจะสามารถทำได้เมื่อจบปี 56 นี้" รัตนา เผย


อย่างไรก็ดี หลังจากนี้บริษัทได้พยายามที่จะเน้นการทำงาน เพื่อกระตุ้นนักธุรกิจ และผู้บริโภคเป็นสำคัญ ซึ่งบริษัท จะมีการเพิ่มรายได้จากงานขายสินค้าให้กับสมาชิกประมาณ 6% โดยบริษัทจะเน้น ในเรื่องของการขายสินค้าของสมาชิกเป็น สำคัญ ส่วนเรื่องของการสร้างเครือข่ายนักธุรกิจ ในส่วนนี้บริษัทไม่ได้ตั้งเป็นเป้า หลักแต่อย่างใด


ด้าน "ยูนิลีเวอร์" มองการณ์ไกลที่จะขยายแบรนด์ขายตรงของบริษัทออกไป ในกลุ่มประเทศต่างๆ ในเอเชีย โดยมีการเปลี่ยนชื่อแบรนด์ขายตรงจาก "อาวียองซ์" ไปเป็น "ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค" โดย นางสุชาดา ธีรวชิรกุล ประธานบริหาร ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า เพื่อให้ "ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค" สามารถเติบโตขึ้นเป็น 2 เท่า สอดคล้องกับพันธกิจที่ยูนิลีเวอร์ได้วางไว้ "ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค" ต้องขยายธุรกิจไปต่างประเทศ เพื่อเพิ่มสมาชิกผู้ร่วมธุรกิจ และกลุ่มลูกค้า โดยอาศัยชื่อเสียงและความมั่นคงของยูนิลีเวอร์ โดยจะรุกหนักด้านการสื่อสารผ่านช่องทางดิจิตอล เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรงของบริษัทมากขึ้น


อีกหนึ่งปัจจัยคือ การขยายไลน์สินค้า จะมีความหลากหลายเพื่อตอบสนองให้ตรงกับความต้องการของสมาชิก และผู้บริโภค พร้อมทั้งยังได้มีการแบ่งประเภทกลุ่ม ผลิตภัณฑ์ภายใต้ชื่อต่างๆ เพื่อความชัดเจน ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์สกินแคร์และเพอร์-ซันนอลแคร์ โดยจะเป็นสินค้าระดับพรีเมี่ยม ภายใต้ชื่อ "อาวียองซ์" (aviance), กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใช้ชื่อ "ไวทัลลิตี้" (Vitality), กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพช่อง ปาก ใช้ชื่อ "ไอ-เฟรช" (i-fresh) และกลุ่มผลิตภณฑ์ในครัวเรือนภายใต้ชื่อ "ลีเวอร์ โฮม" (Lever Home)


อย่างไรก็ดี "ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค" มีความพร้อมใน 5 ศักยภาพเพื่อสร้างการ เติบโตที่ยั่งยืนสู่ความสำเร็จทุกมิติ และพร้อมยืนอยู่ในระดับแถวหน้าของธุรกิจเครือข่าย ประกอบด้วยศักยภาพการเติบโต ในประเทศ (Local Growth) ด้วยความเชี่ยวชาญ และนวัตกรรมระดับสากลของ ยูนิลีเวอร์ ทำให้สามารถขยายฐานผู้บริโภค และสมาชิกผู้ร่วมธุรกิจเครือข่าย "ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค" ครอบคลุมทั่วประเทศ เห็นได้ที่ปัจจุบันมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็น 5 แสน รหัส ซึ่งนับเป็นปีที่สามารถสร้างการเติบโต ที่ดีทั้งในแง่สมาชิกผู้ร่วมธุรกิจ และรายได้ ที่เพิ่มขึ้น ศักยภาพการเติบโตระดับโลก (Global Growth)


อย่างไรก็ตาม สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ บริษัทต้องมีการเปลี่ยนชื่อแบรนด์ขายตรง จาก "อาวียองซ์" มาเป็น "ยูนิลีเวอร์เน็ทเวิร์ค" ก็เพื่อต้องการให้ผู้บริโภคได้เห็นและรู้จักในแบรนด์ของบริษัทได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้ง ยังมีในเรื่องของการขยายตลาดสินค้า รวมถึงการขยายตลาดต่างประเทศ ซึ่งจะไม่ทำให้ผู้บริโภคสับสนในแบรนด์


ทั้งนี้ บริษัทยังจะเลือกใช้ประเทศไทยในการสร้างเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ซึ่งจะขยายแบรนด์ออกไปในหลายประเทศ โดยจะมีสำนักงานหลักอยู่ที่ประเทศไทย


อีกหนึ่งค่ายที่หันมาเอาดีกับการเป็น ธุรกิจเครือข่ายหลายชั้นอย่างเต็มตัวคือ "ไทยเฮลท์" ที่ล่าสุดเปิดตัวบริษัทขายตรงของตัวเองขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยเตรียม งบประชาสัมพันธ์แบรนด์ถึง 50 ล้านบาท เพื่อสร้างชื่อให้เป็นที่รู้จักโดยทั่วกัน ซึ่งนายพันธ์ยศ อัครอมรพงศ์ ประธานกรรมการ "ไทยเฮลท์ กรุ๊ป" ผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพ เปิดเผยว่า บริษัท ได้มีการที่เปลี่ยนจากการขายปลีกมาทำธุรกิจ MLM อย่างเต็มตัว เพื่อต้องการให้ สมาชิกสามารถทำธุรกิจและรับรายได้ ไม่ใช่ให้สมาชิกเน้นขายของอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนสมาชิกรายใดที่ต้องการเปิดช็อปจำหน่ายสินค้าเองก็สามารถทำได้เลย แต่ต้องเป็นสมาชิกกับบริษัทอย่างน้อยเกิน 1 ปีขึ้นไป เนื่องจากต้องการความมั่นใจว่าจะทำธุรกิจได้ยั่งยืน


สำหรับการเปิดตัวของไทยเฮลท์ อินเตอร์ฯ เป็นการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายของไทยเฮลท์ กรุ๊ป ให้ครอบคลุม และเข้าถึงผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบัน มีช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านสื่อในเครือ ร้านค้าในรูปแบบแฟรนไชส์ และตัวแทนจำหน่าย โดยไทยเฮลท์ อินเตอร์ฯ เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคและผู้ที่สนใจสามารถสมัครสมาชิกเป็นตัวแทนจำหน่ายมีรายได้ กลับมาโดยลงทุนต่ำ แต่มีโอกาสประสบความสำเร็จสูง ภายใต้การบริหารงานของ ไทยเฮลท์ กรุ๊ป ดังนั้น บริษัท ไทยเฮลท์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ขึ้น ในรูปแบบธุรกิจขายตรงแบบหลายชั้น (Multi-Level Marketing-MLM) ภายใต้ ระบบการตลาดแบบไบนารี่


นอกจากนี้ บริษัทยังได้เตรียมทุ่มงบประมาณ 50 ล้านบาท เพื่อทำการตลาด ผ่านสื่อโฆษณาต่างๆ ทุกช่องทาง ไม่ว่าจะ เป็นฟรีทีวี, เคเบิลทีวี, หนังสือพิมพ์, วิทยุ และยังเตรียมโฆษณาผ่านระบบคมนาคม อย่างรถเมล์ ที่จะใช้กว่า 60 คัน วิ่งรอบกรุงเทพฯ โดยทั้งหมดจะเริ่มกิจกรรมทาง การตลาดตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย.2556


 


 


 


Credit By : http://www.siamturakij.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น