ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ข่าวนูสกิน (Nu Skin Thailand) : MLM เวียดนามโตกระฉูด! ผู้ค้าไทยชิงหัวหาดรับ AEC "นู สกิน" ปักธง "ฮานอย-โฮจิมินห์"







iq814e06071b21702836aea94cd4ab98ab (Mobile)

 


ธุรกิจขายตรงประเทศเวียดนาม โตทะยานสูงสุดเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มประเทศอาเซียนปี 2012 มูลค่ารวมกว่า 9,000 ล้านบาท สถิติชี้แบรนด์ต่างชาติ โกยยอดขายได้มากกว่าแบรนด์ในประเทศ เหตุรสนิยมของคนในเวียดนาม ไว้ใจแบรนด์นอก ผลักดัน MLM ฝั่งไทยเปิดศึกชิงพื้นที่หัวเมืองใหญ่ตั้งฐาน รองรับ AEC ด้าน "นู สกิน" เดินเครื่อง บุกตลาดเวียดนามเต็มสูบ ปักธง 2 เมือง เศรษฐกิจ "ฮานอย-โฮจิมินห์" ชูสินค้าต้านแก่ "เอจล็อก" เป็นเรือธง มั่นใจเป้ายอดขายปีแรกผ่านฉลุย 450 ล้านบาท หลังผ่านมาครึ่งปีโกยแล้ว 80%


นางภคพรรณ ลีวุฒินันท์ ประธานกรรมการบริหาร นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส ประเทศไทย และเวียดนาม เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจขายตรงในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนมีมูลค่าทางการตลาดประมาณ 3.1 แสนล้านบาท โดยตลาดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับหนึ่ง ได้แก่ ประเทศ มาเลเซีย, ไทย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์ และเวียดนาม ในขณะที่ประเทศ เวียดนามซึ่งมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ใน อาเซียน ด้วยปัจจัยที่มีประชากรประมาณ 90 ล้านคน ซึ่งมากเป็นอันดับ 13 ของโลก และมูลค่าอุตสาหกรรมขายตรงของเวียดนามในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 8,500 ล้านบาท มีการเติบโตร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับ ปี 2554 ซึ่งนับว่าเติบโตสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศในกลุ่มเออีซี และนับเป็น การเติบโตสูงสุดติด 1 ใน 10 ของอุตสาหกรรมขายตรงโลก ในปีระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมามีบริษัทยื่นขอจดทะเบียนเปิดดำเนินการในเวียดนามจำนวน 78 บริษัท และเปิดดำเนินการอยู่ในปัจจุบันจำนวน 54 บริษัท แบ่งเป็นแบรนด์ท้องถิ่น 83.3% และแบรนด์ต่างชาติ 16.7%


โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มียอดขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 51% รองลงมา ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ดูแล ผิวและเครื่องสำอาง 27% และผลิตภัณฑ์กลุ่มโฮมแคร์ 9% ช่องทางการจำหน่ายใช้วิธีการขายผ่านบุคคลต่อบุคคล 100% เพราะ ยังถือว่าเวียดนามยังคงเป็นตลาดเปิดใหม่สำหรับขายตรง และมีกฎระเบียบที่เข้มงวด ดังนั้น ช่องทางการขายแบบปากต่อปากจึงเป็นช่องทางหลักที่มีศักยภาพสูงในปัจจุบัน


"นู สกิน เริ่มเข้ามาเปิดดำเนินธุรกิจในประเทศเวียดนามอย่างเป็นทางการช่วงปลายไตรมาส 3 ของปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็น สาขาประเทศที่ 53 ของนู สกินทั่วโลก และ นับเป็นการประกาศศักยภาพที่แข็งแกร่งของนู สกิน ในการเปิดตลาดที่ 7 ในกลุ่มประเทศอาเซียนจากทั้งหมด 10 ประเทศ ต่อจากไทย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และบรูไน สำหรับสภาวะการแข่งขันในกลุ่มธุรกิจขายตรงในประเทศเวียดนามยังไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับไทย หรือมาเลเซีย เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ค่อนข้าง ใหม่ ประกอบกับธุรกิจขายตรงที่จะเข้าไปดำเนินธุรกิจในเวียดนามนั้นจะต้องได้รับการ ยอมรับและผ่านการตรวจสอบโดยรัฐบาลอย่างเข้มงวด ดังนั้น บริษัทขายตรงที่จะเข้า ไปดำเนินธุรกิจในเวียดนามต้องดำเนินธุรกิจ ภายใต้กรอบของจรรยาบรรณ และต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการปรับทัศนคติของผู้บริโภคและให้ความรู้กับคนในประเทศ เวียดนามเปิดรับธุรกิจขายตรงมากขึ้น" นางภคพรรณ กล่าว


สำหรับกลยุทธ์ในการรุกตลาดเวียดนาม ช่วงเปิดตลาดใหม่จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้แทนจำหน่าย โดยมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่อต้านความเสื่อมชรา แบรนด์เอจล็อกเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดภายใต้กลยุทธ์ "ageLOC Opportunity" ซึ่งสอดคล้องกับปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ ของคนในประเทศและด้านพฤติกรรมผู้บริโภค ที่คาดการณ์ว่าตัวเลขของประชากรวัย 40 ปีขึ้นไป จะเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มเดียวกันกับทั่วโลก ซึ่งในขณะนี้สัดส่วนของยอดขายผลิตภัณฑ์กลุ่มเอจล็อกอยู่ที่ 65% ของยอด ขายทั้งหมดของบริษัท และสัดส่วนระหว่าง ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อยู่ที่ 70:30


"เนื่องจากการทำตลาดในระยะนี้ยังถือเป็นช่วงเปิดตลาดใหม่ๆ จึงเป็นช่วงที่บริษัทต้องการสร้างฐานสมาชิกผู้ทำธุรกิจเป็นหลัก และจากข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภค ร้อยละ 57 ของประชากรในประเทศเป็น กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความต้องการเป็นเจ้าของ ธุรกิจของตัวเอง มองหาโอกาสทางการทำงานใหม่ๆ เสมอ อีกทั้งทุ่มเทกับการทำงานหนัก เราจึงจะเน้นไปที่การพิสูจน์ให้ชาวเวียดนามเห็นว่าเราแตกต่างจากบริษัทอื่น ไม่ว่าจะเป็นด้านวิสัยทัศน์ของบริษัท โอกาส ทางธุรกิจ และคุณภาพผลิตภัณฑ์ ซึ่งผู้ทำธุรกิจ นู สกิน สามารถประสบความสำเร็จได้จริงจากกลยุทธ์การตลาดที่เราวางไว้นี้ จึงคาดการณ์ว่าภายในปี 2556 จะมีจำนวนสมาชิก 30,000 บัญชีรายชื่อ และตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 450 ล้านบาท โดยปัจจุบันมีศูนย์บริการผู้แทนจำหน่ายจำนวน 2 สาขาที่เมืองโฮจิมินห์ และเมืองฮานอย และจะขยายเพิ่มเติมในอนาคต เพื่อรองรับการให้บริการที่ครอบคลุมทั่วประเทศยิ่งขึ้น" ภคพรรณ กล่าว


"ภคพรรณ" กล่าวต่อว่า "ทุกครั้งที่ นู สกิน ไปเปิดดำเนินการที่ประเทศใดก็ตาม บริษัทให้ความสำคัญกับเรื่องการทำธุรกิจ อย่างถูกต้องตามกฎระเบียบข้อบังคับของแต่ละประเทศ ปลูกฝังด้านจรรยาบรรณของ ผู้แทนจำหน่าย และสิ่งที่นู สกิน คำนึงถึงตลอดเวลาคือการตอบแทนคืนกลับสู่สังคม สำหรับในเวียดนาม เราได้เริ่มช่วยเหลือเด็ก ผู้ป่วยโรคหัวใจภายในการโครงการ SEA Childrenžs Heart Fund โดยร่วมมือกับองค์กรการกุศล East Meet West ซึ่งภายใน ระยะเวลา 1 ปี ที่นู สกิน เวียดนามเปิดดำเนิน การ เราช่วยเหลือด้านการผ่าตัดเด็กผู้ป่วย โรคหัวใจไปแล้ว จำนวน 5 ราย"


"อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทวางกลยุทธ์ สร้างการเติบโตผ่านการเปิดดำเนินธุรกิจ นู สกิน เพิ่มขึ้นในแต่ละประเทศโดยเฉพาะ ในกลุ่มประเทศเออีซีนั้น มีวัตถุประสงค์หลัก คือ การส่งเสริมการทำงานให้กับผู้ทำธุรกิจ นู สกิน ได้มีโอกาสขยายธุรกิจได้กว้างไกลยิ่งขึ้น ซึ่งนู สกิน เป็นเพียงบริษัทเดียวที่สามารถสร้างเครือข่ายขยายการทำงานและมีรายได้จากทุกประเทศที่นู สกิน เปิดดำเนินการ กรณีการเปิดเวียดนามผู้ทำธุรกิจ นู สกิน ที่เป็นคนไทยเองก็มองเห็นโอกาสที่ บริษัทเตรียมพร้อมไว้ให้ ซึ่งมีผู้ทำธุรกิจมากมายที่ประสบความสำเร็จแล้วในขณะนี้" แม่ทัพหญิง "นู สกิน" ไทย-เวียดนาม กล่าว


ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่ "นู สกิน" เท่านั้นที่เข้าไปทำตลาดในประเทศ เวียดนาม แต่ที่ผ่านมามีบริษัทขายตรงทั้งจากประเทศอื่น และขายตรงจากไทยเข้าไป เปิด ทั้ง "แอมเวย์" "โมรินดา" โดยล่าสุดเมื่อปีที่ผ่านมา ก็มี "นีโอ ไลฟ์" ขายตรงแบรนด์ไทยอีกรายที่เข้าไปเปิดธุรกิจเครือข่ายในเวียดนาม โดยตั้งสาขาอยู่ที่เมืองหลวง ของเวียดนามอย่าง "ฮานอย" และดูเหมือน ว่าธุรกิจที่ได้เข้าไปขยายสาขานี้จะได้รับการ ตอบรับจากคนในเวียดนามเป็นอย่างดี ทำให้ เวียดนามกลายประเทศที่มีการขยายตัวมาก ที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากฟิลิปปินส์ในปีที่ผ่านมา


 


 


 


 


Credit By : http://www.siamturakij.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น