ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ยอดขาย ‘นู สกิน’ ปี 2554 โตพรวด ปิดที่ 2.2 พันล้านบาท เติมหมากปั้นแบรนด์มัดใจสาวกลัวแก่



“นู สกิน” แบรนด์ขายตรงด้านความงาม โชว์ยอดขายปี 54 ปิดที่ 2.2 พันล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 10% วางยุทธศาสตร์เดิมเน้นสินค้ากลุ่ม “เอจล็อก” จับสาวกลัวแก่ เชื่อตลาดนี้ยังโตต่อได้อีกเยอะ พร้อมเดินหน้าสร้างการจดจำแบรนด์ แถมด้วยการอัพเกรดศูนย์สาขาให้ทันสมัย คาดเป้าปี 55 โต 15%

นางภคพรรณ ลีวุฒินันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในปีที่ผ่านมา แม้จะเกิดวิกฤติอุทกภัยภายในประเทศ แต่นู สกิน ก็สามารถดำเนินธุรกิจ จนสามารถปิดยอดขายได้ที่ 2,200 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อนประมาณ 10% แม้จะน้อยกว่าที่ตั้งใจไว้ แต่ก็ดีใจที่บริษัทสามารถก้าวผ่านวิกฤติครั้งประวัติศาสตร์มาได้”

สำหรับการก้าวขึ้นสู่ปีที่ 15 ของนู สกิน ในปี 2555 นี้ นางภคพรรณ เปิดเผยว่า เป้าหมายการเติบโตของ นู สกิน ประเทศไทย ยังคงเดินตามแนวนโยบายของบริษัทแม่ เกี่ยวกับการศึกษาวิจัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ตลอดจนการแสดงจุดยืนในการเป็นผู้นำด้านต่อต้านความเสื่อมชราให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งล่าสุด บริษัทแม่ได้ทุ่มงบลงทุนกว่า 350 ล้านบาท ในการครอบครองลิขสิทธิ์กิจการสถาบัน วิจัย พันธุวิศวกรรม ไลฟ์เจน เทคโนโลยี เพื่อเป็นเจ้าของผลงานวิจัยและการค้นคว้ารหัสพันธุกรรม หรือ ยีน

“นู สกิน จะเป็นผู้เดียวที่ได้กรรมสิทธิ์ในการครอบครองทรัพย์สินทางวิทยาศาสตร์ ของสถาบันไลฟ์เจน ในการนำผลงานวิจัยมาต่อยอดพัฒนาเป็นเทคโนโลยีเอจล็อก และ ผลิตภัณฑ์ต่อต้านความเสื่อมชรา ซึ่งใช้เวลาศึกษามากกว่า 30 ปี ในการชี้เฉพาะกลุ่มยีน ที่เกี่ยวข้องกับความเสื่อมชรา ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจอีกขั้นของ นู สกิน”

ทั้งนี้ นางภคพรรณ ได้กล่าวถึงทิศทางของตลาดต่อต้านความชราในอนาคตว่า “มีการคาดการณ์ว่า ตลาดต่อต้านความเสื่อมชราจะมีมูลค่าสูงถึงประมาณ 275 พันล้าน เหรียญสหรัฐ โดยในปี 2015 อุตสาหกรรมต่อต้านความเสื่อมชราในแต่ละภูมิภาคจะ เติบโตมากกว่า 70% โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะเติบโตถึง 82% ส่วนมูลค่า การตลาดของประเทศไทย ตนคาดว่าภายใน 10 ปีข้างหน้าจะมีการเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% โดยประเมินจากจำนวนประชากรสูงวัยที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นมากในช่วงทศวรรษนี้”

ดังนั้น ในปีนี้บริษัทจึงมีแผนกลยุทธ์สำคัญเพื่อเตรียมตัวขับเคลื่อนธุรกิจ ครอง ความเป็นผู้นำแห่งตลาดต่อต้านความชรา ซึ่งแผนงานเรื่องแรก ประธานกรรมการบริหาร นู สกิน ประเทศไทย กล่าวว่า คือการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เป็นไฮไลต์ในกลุ่มต่อต้านความเสื่อมชรา ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร “เอจล็อค อาร์สแควร์” และ “เอจล็อค กัลป์วานิค บอดี้ ซิสเต็ม” โดยจะเปิดจำหน่ายให้กับผู้แทนจำหน่ายในระดับผู้บริหารขึ้นไปในไตรมาสที่ 1 นี้ และจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้งภายใน ปีนี้ ซึ่งเชื่อว่าหลังจากที่ผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้เทคโนโลยีเอจล็อกนี้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว จะสามารถสร้างยอดขายให้เติบโตตามเป้า สามารถปิดยอดขายที่ 5,000 ล้านบาท ภายในปี 2558 อย่างแน่นอน

“กลยุทธ์ต่อมา คือ แผนการเพิ่มยอดผู้แทนจำหน่ายระดับผู้บริหาร ซึ่งปัจจุบัน นู สกิน มียอดผู้แทนจำหน่ายที่มียอดสั่งซื้อ (Active) จำนวนทั้งสิ้นกว่า 10,000 บัญชี รายชื่อ โดยสามารถสร้างผู้แทนจำหน่ายเข้าสู่ทำเนียบเศรษฐีเงินล้านได้เพิ่มขึ้นถึง 10% ซึ่งเป็นไปตามวิสัยทัศน์ของบริษัทที่จะก้าวเป็นบริษัทขายตรงแนวหน้าของโลกด้วยการสร้างรายได้ให้แก่ผู้แทนจำหน่ายที่มากกว่าบริษัทขายตรงอื่นๆ โดยจำแนกเป็น ผู้แทนจำหน่ายที่มียอดคอมมิสชั่นสะสม 400 ล้านบาท คู่แรกของประเทศไทย 1 บัญชี รายชื่อ ผู้แทนจำหน่ายที่มียอดคอมมิสชั่นสะสมในระดับเงินล้านกว่า 500 บัญชีรายชื่อ”

นอกจากนี้ แผนกลยุทธ์สำคัญอีกประการที่บริษัทวางไว้ในปีนี้ คือ นโยบาย การสื่อสารรูปแบบใหม่ โดยจะมุ่งเน้นการ สื่อสารผ่านสื่อที่เข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น (Mass Communications) ภายใต้คอนเซปต์ “Look young Feel young Lives young” ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ในการรุกตลาดที่มุ่งสู่กลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้บริโภค (End User) โดยตรง เพื่อเน้นการสร้างการรับรู้ และสร้างการจดจำให้กับผู้บริโภคทั้งด้านภาพลักษณ์ ตราสินค้า และผลิตภัณฑ์

ทั้งนี้ นางภคพรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในปี 2555 บริษัทยังมีแผนในการจัดกิจกรรมการตลาดและกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง เช่น การปรับปรุงศูนย์บริการเพื่อกระตุ้นยอดขายในพื้นที่ต่างจังหวัด การจัดกิจกรรม นู สกิน โรดโชว์ ไปตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อขยายฐานสมาชิกและสร้างเครือข่ายผู้แทนจำหน่าย

นอกจากนี้ ในส่วนของโปรโมชั่นที่จะช่วยสร้างแรงกระตุ้นในการทำงานของ ผู้แทนจำหน่าย นอกจากบริษัทจะจัดทริปท่องเที่ยวแล้ว นู สกิน ยังมีการมอบเงินโบนัสพิเศษให้แก่ผู้แทนจำหน่ายที่สามารถ สร้างผู้บริหารใหม่ และรักษายอดคะแนนกลุ่มได้ตามเงื่อนไขที่บริษัทกำหนดอีกด้วย ซึ่งจากกลยุทธ์การตลาดทั้งหมดที่กล่าวมา ในปีนี้บริษัทจึงตั้งเป้าการเติบโตของยอดขายไว้ประมาณ 15%”

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1275 ประจำวันที่ 15-2-2012 ถึง 17-2-2012

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น