จากความผันเปลี่ยนของโลกปัจจุบัน ต้องยอมรับว่าโลกของสื่อออนไลน์เข้ามามีอิทธิพลเป็นอย่างยิ่ง ในชีวิตประจำวันของผู้คนในสมัยนี้ โดยเฉพาะ “โซเชียลเน็ตเวิร์ก” ซึ่งสื่อ ที่เราเรียกกันอยู่นี้นับว่าเป็นสื่อที่ผู้คน ตั้งแต่เด็ก จนถึงผู้ใหญ่หยิบมาเป็นเครื่องมือสื่อสาร แทนโทรศัพท์มือถือ ที่เคยรุ่งเรือง
ถึงแม้ว่าปัจจุบัน การใช้โทรศัพท์ ยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องมือสื่อสารที่ครองแชมป์อยู่ก็ตาม แต่ด้วยการพัฒนาของเทคโนโลยี โทรศัพท์มือถือ ในทุกวันนี้ แทบจะกลายเป็นตัวประกอบของการสื่อสาร ไปเสียแล้ว จากสิ่งที่กล่าวมา คือ การทดแทนของ สื่อออนไลน์ชนิดอื่นๆ ที่นับวันอิทธิพลของมันเริ่มเข้ามาครอบงำจนหลายคนลืมตัวว่ากำลังสื่อสารด้วยรูปแบบใหม่นี้อยู่
โดย “อเลสซานโดร คาร์ลุชชี” ประธาน สมาพันธ์การขายตรงโลก (WFDSA) เคยกล่าวในงานประชุมสมาพันธ์ขายตรง โลกว่า การเริ่มต้นใหม่ถือเป็นเรื่อง ที่ดี และการเข้าสู่โลกออนไลน์ สามารถใช้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ทั่วโลกพร้อมกัน จะสามารถเข้าถึง ลูกค้าได้เป็นอย่างดี ซึ่งปัจจุบันธุรกิจขายตรงโลกกว่า 90% ได้ปรับตัวรับโซเชียลเน็ตเวิร์กและ ใช้เป็นอาวุธในการหาลูกค้า
การใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กในการหาลูกค้า จะเป็นลักษณะการสร้าง ความสัมพันธ์ทางด้านดิจิตอล ทำให้เกิดประโยชน์ในด้านการขายตรง ซึ่งในปี 1990 บางคนมองว่า การใช้เทคโนโลยีเพื่อเข้าไปหาลูกค้า เป็นสิ่งที่ยังมองไม่เห็นโอกาส และยังมองไม่เห็นว่า อินเตอร์เน็ตจะสร้างมูลค่าการเติบโตได้อย่างไร แต่ปัจจุบันอินเตอร์เน็ตที่นับว่า เป็นส่วนสำคัญในการสร้างโซเชียลเน็ตเวิร์ก ได้กลายเป็นตัวเปิดโอกาสสร้าง ผลกำไรได้อย่างมหาศาล
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันผู้บริโภคมีการสื่อสาร ผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้นในทุกๆ วัน จากผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั่วโลก 2.1 พันล้าน คน หรือ 30.4% ของประชากรทั่วโลก ณ วันนี้คาดว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า โดยคนส่วน ใหญ่จะใช้เวลาทั้งหมดไปกับกิจกรรมออนไลน์ และจะดำเนินธุรกิจผ่านเว็บไซต์เป็นหลัก
โดยในส่วนของประเทศไทยนั้นผู้ใช้อินเตอร์เน็ตมีสัดส่วน 34% ของประชากรทั่วประเทศ ในขณะที่โซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นกิจกรรมออนไลน์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่าง มาก โดยเฉพาะ Facebook มีอัตราการเติบโตถึง 168% จากเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว หรือมีจำนวนผู้ใช้กว่า 11 ล้านคน อีกทั้ง ในทุกๆ 6 เดือน จะมีผู้ที่สมัครเป็นสมาชิกเฟซบุ๊กอีกไม่น้อยกว่า 3 ล้านคนจากประชากร ทั่วโลก
จากสิ่งที่กล่าวมานี้เอง ผลักดันให้ธุรกิจขายตรง ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์เล็ก หรือ ใหญ่ ที่กระจุกตัวทำตลาดอยู่ในประเทศไทย ต้องพยายามที่จะเน้นในส่วนของกลยุทธ์การ เดินหมาก ที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องโลกออนไลน์เพิ่มมากขึ้น ถึงแม้ว่าวันนี้สื่อออนไลน์จะยังไม่ใช่ตัวแปรที่สำคัญก็ตาม แต่อีกมุมก็ปฏิเสธการพัฒนาของโลกไม่ได้ ซึ่งกลุ่มธุรกิจขายตรงต้องพยายามดิ้นรน วิ่งตามให้ทัน เพื่อเป็นการล้อมตลาด และแชร์เค้กก้อนโตของธุรกิจขายตรง
จากสิ่งที่กล่าวมา “แอมเวย์” นับว่าเป็นเจ้าแรกๆ ที่ให้น้ำหนักความสำคัญเกี่ยวกับ การทำตลาดผ่านโลกออนไลน์ โดย นายกิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวหลังจากเข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการต่อจาก “ปรีชา ประกอบกิจ” หัวเรือที่เกษียณ ออกไปว่า “บริษัทได้วางกลยุทธ์ 3 ด้านใน การทำงานหลังจากนี้ ได้แก่ 1.แบรนด์แห่งนวัตกรรม (Brand of Innovation) เป็นการ เปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้ที่เกี่ยวข้องกับบริษัท ผ่านนวัตกรรมต่างๆ เพื่อสร้างการรับรู้ว่า แอมเวย์เป็นแบรนด์ที่เกินความคาดหมายของผู้คนอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการพัฒนาศักยภาพของโอกาสทางธุรกิจแอมเวย์ โดย การตั้ง “สถาบันฝึกอบรมแอมเวย์ (Amway Training Institute)” ผลิตนักธุรกิจแอมเวย์มืออาชีพที่มีมาตรฐาน ผ่านนวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะการใช้ สื่อออนไลน์เพื่อให้เข้าถึงข้อมูลและการฝึกฝนสำหรับผู้คนทุกกลุ่มและทุกภูมิภาคของประเทศ และในฐานะที่แอมเวย์เป็นแม่แบบธุรกิจขายตรง เราจึงมีพันธสัญญาที่ จะก้าวนำและยกระดับธุรกิจโดยรวม ขณะเดียวกันยังสนับสนุนให้เกิดการสร้างงานสร้างรายได้ที่มั่นคง เพื่อตอบรับกับเทรนด์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัว ที่มีการลงทุนน้อย ความเสี่ยงต่ำ”
“การพัฒนาการดำเนินงานให้สอดรับกับโลกยุคใหม่ ด้วยเทรนด์ที่ผู้บริโภคต้องการเข้าถึงข้อมูลและสินค้าได้ทุกที่ ทุกเวลา (Anywhere Anytime) ดังนั้น บริษัท จึงได้พัฒนาช่องทางให้ผู้บริโภคติดต่อกับเราได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น อาทิ การเปิดแอมเวย์ ช็อป ครบทุกจังหวัดของประเทศภายใน 2 ปี การสร้างเครือข่ายการสื่อสารของนักธุรกิจแอมเวย์ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กใน เฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ การเปลี่ยนโฉมเว็บไซต์แอมเวย์ให้เป็นเอกภาพของแอมเวย์ทั่วโลก โดยใช้ “โกลบอล เว็บ แบรนด์ เซ็นเตอร์ (Global Web Brand Center)” เพื่อนักธุรกิจแอมเวย์สามารถติดต่อและแบ่งปันข้อมูลระดับนานาชาติได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งจะเริ่มใช้ปลายปีนี้ รวมทั้งการก้าวสู่ธุรกิจที่ดำเนินการบนมือถือ (Business on Mobile) ด้วยการพัฒนาแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ ของแอมเวย์บนมือถืออย่างต่อเนื่อง นอกจาก นั้น การพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการ ทำงานขององค์กร โดยบริษัทได้นำซอฟต์แวร์ ของข้อมูลเชิงลึกในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลมาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของบุคลากรให้มากยิ่งขึ้น”
“กลยุทธ์ที่ 2.แบรนด์ที่ตอบสนองทุก ไลฟ์สไตล์ (Brand of Lifestyle Solutions) ในอนาคตธุรกิจต่างๆ จะไม่ได้ขายสินค้าอีก ต่อไป แต่เราจะนำเสนอวิธีที่จะตอบสนองวิถีการดำเนินชีวิตหรือแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นให้กับผู้คนในทุกๆ กลุ่ม ดังนั้น ลักษณะของ สินค้าจะเป็นสินค้าเฉพาะบุคคลมากขึ้น (Personalized) เพื่อส่งมอบประสบการณ์อันประทับใจ และด้วยจุดเด่นของความเป็น แบรนด์ที่มีผลิตภัณฑ์และบริการหลากหลาย ของแอมเวย์ เราจะสร้างโปรแกรมโซลูชั่นด้านสุขภาพ ความงามและการบริการให้แก่ ลูกค้าอย่างครบวงจร อาทิ โปรแกรมสำหรับ พฤติกรรมการบริโภคสมัยใหม่ โปรแกรมการควบคุมน้ำหนัก โปรแกรมเพื่อตอบสนอง ให้ผู้สูงวัยมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โปรแกรมสำหรับภาวะโลกที่เปลี่ยนไป และโปรแกรม เพื่อตอบสนองชีวิตที่เร่งรีบ เป็นต้น เพื่อสนับสนุนโอกาสทางธุรกิจที่ขยายตัวมากขึ้น และ 3.แบรนด์แห่งจิตสำนึกเพื่อทุกคนในสังคม (Brand of Corporate Responsibility) ด้วยรากฐานแห่งธุรกิจแอมเวย์ที่ต้องการมอบโอกาสที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ผู้คน”
นอกจากส่วนของแอมเวย์แล้ว ยังมีแบรนด์ขายตรงอย่าง “บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด” ที่เริ่มเล็งเห็นความสำคัญในส่วนนี้ และเริ่มออกหมัดเรื่องของการทำตลาดโลกออนไลน์ มาตั้งแต่ช่วงต้นปีที่แล้ว ซึ่งดูจะได้ผลเป็นอย่างดี โดยกิฟฟารีน ทำการจำหน่ายสินค้าทางออนไลน์บน www.giffarine.co.th อีกทั้งบริษัทก็มีการจัดอบรมให้กับนักธุรกิจทั้งการสั่งซื้อสินค้าทางระบบออนไลน์และการชำระเงิน
ทั้งนี้ นอกจากบริษัทต่างๆ ที่กล่าวมา ยังมีอีกหลายต่อหลายบริษัทที่ลงน้ำหนัก การใช้โลกออนไลน์ในการสร้างเม็ดเงินเข้าบริษัท โลกออนไลน์จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งทุกบริษัทขายตรงต้องพยายามสร้างและดำเนินกลยุทธ์ในส่วน นี้ให้เป็นรูปธรรม เพราะหากใครทำได้ดีกว่า ตลาดในอนาคต บริษัทนั้นย่อมมีสิทธิ์เป็นผู้ครอบครอง
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1277 ประจำวันที่ 22-2-2012 ถึง 24-2-2012
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น